วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ภาพลวงตา

                                        

                                                                      ภาพลวงตา

             ภาพลวงตา หรือเรียกในภาษาอังกฤษว่า Optical illusionคือภาพที่หลอกตาของเราให้มองเห็นและรับรู้ภาพนั้นๆผิดไป หรือให้มองเป็นอีกแบบหนึ่ง เช่น หลายคนอาจสังเกตเห็นในเวลากลางวันที่มีแดดร้อนจัด บนพื้นถนนจะสังเกตเหมือนมีแอ่งน้ำอยู่ที่ด้านหน้าแต่เมื่อเราเดินเข้าไปใกล้ กลับปรากฏว่าไม่มีแอ่งน้ำนั้นจริงๆ ปรากฏการณ์เช่นนี้ 
เป็นธรรมชาติมหัศจรรย์อย่างหนึ่งเรียกว่า ภาพหลอกตา เกิดมาจากความร้อนระอุของผิวโลกก่อให้เกิดชั้นของอากาศขึ้นเหนือผิวโลก และชั้นของบรรยากาศที่เกิดขึ้นนี้จะหักเหทางเดินของแสงสว่าง 

     อีกความหมายหนึ่งคือ เป็นการนำความสามารถอย่างหนึ่งของสมอง ที่สามารถเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปหรือการปรับเปลี่ยนรูปภาพอัตโนมัติ หรือ การมองเห็นเพียงแต่ 3 วินาทีแรก และ 3วินาทีหลังมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการแสดงภาพหรือ การแสดงสิ่งที่เหนือธรรมชาติแต่เป็นเพียการแสดงเท่านั้น

               

ประวัติ Leonardo Da Vinci

                                                       

                                                                          Leonardo Da Vinci

เลโอนาร์โด ดา วินชี (อิตาลีLeonardo da Vinci) เป็นชาวอิตาลี (เกิดที่เมืองวินชี วันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 1452 - เสียชีวิตที่เมืองออมบัวซ์ ในวันที่2 พฤษภาคม ค.ศ. 1519) เป็นอัจฉริยบุคคลที่มีความสามารถหลากหลาย เป็นทั้ง สถาปนิกแบบเรอเนซองส์ นักดนตรี นักกายวิภาค นักประดิษฐ์ วิศวกร ประติมากร นักเรขาคณิต นักวาดภาพ. ดา วินชี มีงานศิลปะที่มีชื่อเสียงหลายชิ้น เช่น พระกระยาหารมื้อสุดท้าย และ โมนา ลิซ่า งานของ ดา วินชี ยังสร้างคุณประโยชน์กับวิชากายวิภาคศาสตร์ ดาราศาสตร์ รวมถึงวิศวกรรมโยธา ด้วยความที่เป็นบุรุษที่มีจิตวิญญาณที่รักในศาสตร์หลายแขนง เลโอนาร์โดทำให้เกิดจิตวิญญาณของสหวิทยาการในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ และกลายเป็นบุคคลสำคัญของยุคนั้น

เลโอนาร์โด เกิดเมื่อวันที่ 15 เมษายน โดยที่ที่เขาเกิดอยู่ห่างจากหมู่บ้านวินชี ในประเทศอิตาลี ไปราวสองกิโลเมตร บิดาชื่อนายแซร์ ปีเอโร ดา วินชีเป็นเจ้าพนักงานรับรองเอกสารของรัฐ มารดาชื่อคาตารีนา เป็นสาวชาวนา เคยมีคนอ้างว่านางคาตารีนาเป็นทาสสาวจากประเทศแถบตะวันออกในครอบครองของปีเอโร แต่ก็ไม่มีหลักฐานเด่นชัด
ในสมัยนั้นยังไม่มีมาตรฐานการเรียกชื่อและนามสกุลที่เป็นที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลายในทวีปยุโรป ทำให้ชื่อและนามสกุลของดา วินชี ที่แท้จริงคือเลโอนาร์โด ดิ แซร์ ปีเอโร ดา วินชี ซึ่งหมายความว่า เลโอนาร์โด บุตรชายของปีเอโร แห่ง วินชี แต่เลโอนาร์โดเองก็มักจะลงลายเซ็นในงานของเขาอย่างง่ายๆว่า เลโอนาร์โด หรือไม่ก็ ข้าเอง เลโอนาร์โด เอกสารสำคัญส่วนใหญ่ระบุว่าผลงานของเขาเป็นของ เลโอนาร์โด โดยไม่มี ดา วินชี พ่วงท้าย ทำให้เข้าใจได้ว่าเขาไม่ได้ใช้นามสกุลของบิดาเนื่องจากเป็นบุตรนอกสมรสนั่นเอง

ประวัติ Mozart



Mozart

Wolfgang Amadeus Mozart เกิดเมื่อวันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 1756 ที่เมืองซัลส์บวร์ก ประเทศออสเตรีย เขาเป็นบุตรชายของ Leopold & Anna-Marie มีพี่น้องทั้งหมด 7 คน แต่เหลือรอดชีวิตมาจนโตเพียง 2 คน คือ โมสาร์ทและแนนเนิร์ล (Nannerl) พี่สาว เลโอโปล์ดเป็นครูสอนดนตรีและนักดนตรีในราชสำนักของสมเด็จพระสังฆราชแห่งซัลส์บวร์ก (ในสมัยของโมสาร์ท เมืองซัลส์บวร์กมีสมเด็จพระสังฆราชหรือ Archbishop เป็นองค์ประมุข ปกครองดูแลทั้งศาสนจักรและอณาจักร) สองพี่น้องแสดงความสามารถทางดนตรีให้ประจักษ์ตั้งแต่ยังเล็ก ๆ 

โมสาร์ทเป็นอัจฉริยะทางดนตรีอย่างแท้จริง เมื่ออายุเพียง 5 ขวบ เขาสามารถเล่นคลาเวียร์ (Clavier) ได้อย่างน่าพิศวง และเริ่มแต่งเพลงซิมโฟนีเมื่ออายุ 6 ขวบโดยบิดาเป็นคนบันทึกโน้ตให้ พออายุ 12 ขวบก็แต่งอุปรากรเรื่องแรกสำเร็จ เมื่อเลโอโปล์ดฝึกปรือฝีมือบุตรทั้งสองจนเก่งฉกาจ เขาพาโมสาร์ทและพี่สาวตระเวนแสดงดนตรีไปทั่วยุโรปให้ได้ชื่นชมฝีมือทางดนตรีของทั้งคู่ ตั้งแต่โมสาร์ทมีอายุเพียง 6 ขวบเศษ ๆ จนโตเป็นหนุ่มอายุ 16 ปี จึงเลิกตระเวณแสดงดนตรีกลับมาเป็นนักดนตรีประจำราชสำนัก ช่วงนี้โมสาร์ทแต่งเพลงไว้มากมาย แต่เขาเริ่มเบื่อหน่ายชีวิตเพราะต้องมาจำเจอยู่ในชนบทเล็กๆ หลังจากที่เคยไปเห็นโลกกว้างมาแล้ว โมสาร์ทเป็นนักแต่งเพลงที่มีความสามารถยอดเยี่ยม ทั้งอุปรากร ซิมโฟนี่ คอนแชร์โต และเพลงชนิดอื่นๆ อีกมาก และโมสาร์ทยังเป็นนักออร์แกนและเปียโนชั้นเยี่ยมของยุโรปอีกด้วย ในวัยเด็กเมื่อโมสาร์ทมีอายุเพียง 4 ขวบ ขณะที่บิดาของเขากำลังสอนคลาเวียร์ให้แก่พี่สาวที่แก่กว่า 5 ปี โมสาร์ทจะยืนอยู่เงียบ ๆ ข้างๆ พี่สาวตน และเมื่อมาเรียเล่นจบลง โมสาร์ทจะกระโดดขึ้นบนม้านั่งเล่นคลาเวียร์แทน เขาสามารถเล่นได้อย่างถูกต้อง ขณะที่พ่อของเขาเฝ้าดูด้วยความฉงน ในไม่ช้าพ่อก็สอนดนตรีให้โมสาร์ทอย่างจริงจัง พ่อของโมสาร์ทเห็นว่าลูกชายมีพรสวรรค์อย่างแท้จริง และแทบจะหยุดแต่งเพลงของตนเพื่อหันมาเอาใจใส่ลูกให้ได้เรียนดนตรีอย่างเต็มที่ 

โมสาร์ทเกิดมาในปีแรกของ “สงคราม 7 ปี“ เมื่อสงครามสงบลง เลโอโพล์ดกับลูกทั้งสองก็เริ่มออกเดินทางสู่กรุงเวียนนานครหลวงแห่งออสเตรียเป็นครั้งแรก เวียนนาได้ต้อนรับโมสาร์ทด้วยความพึงพอใจ ฝีมือทางดนตรีอันน่าพิศวงและกิริยาอันน่ารักเป็นที่ร่ำลือไปทั่ว ทำให้ใครๆ อยากจัดงานเพื่อให้มีการแสดงของเขา ในไม่ช้าโมสาร์ทได้กลายเป็นแขกประจำของคฤหาสน์ชนชั้นสูงต่างๆ 

ในช่วง 10 ปีท้ายๆ ชีวิตของเขาซึ่งอยู่ระหว่างปี ค.ศ. 1780-1791 โมสาร์ททิ้งบ้านเกิดมาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงคือกรุงเวียนนาเพื่อโอกาสที่ดีกว่า โมสาร์ทเริ่มต้นทำทุกอย่างในชีวิตรวดเร็วผิดมนุษย์ เช่นเดียวกับที่ด่วนจากโลกนี้ไปในไม่ช้าไม่นานด้วยวัยเพียง 35 ปี 

โมสาร์ทเหมือนเทวดาตกสวรรค์ลงมาเพียงชั่วครู่ชั่วยาม และนำเอาทิพยสมบัติจากสวรรค์เพื่อเป็นของขวัญแด่โลกมนุษย์จำนวนหนึ่ง เป็นบทเพลงราว 650 บท แล้วสวรรค์ก็รีบมาพรากเอาอัจฉริยะแห่งโลกดนตรีกลับสู่สวรรค์ โมสาร์ทเสียชีวิตเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1791 ที่กรุงเวียนนา ว่ากันว่างานศพทำกันอย่างรีบร้อน เพราะสภาพอากาศไม่ดี หิมะตกตลอด ภรรยาและเพื่อนๆ ของเขานำศพของโมสาร์ทไปฝังที่สุสานเซนต์มาร์ค จนกระทั่งปัจจุบันก็ไม่มีผู้ใดทราบว่าศพของโมสาร์ทฝังอยู่ที่ไหน เพราะตอนนั้นไม่ได้ทำป้ายบอกไว้ ภายหลังทางการจึงสร้างอนุสาวรีย์ขึ้น ณ จุดหนึ่งในบริเวณสุสาน เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ ปัจจุบันโมสาร์ทเป็นที่รักและนิยมยกย่องอย่างสูงในฐานะนักประพันธ์เพลงเอก บทเพลงต่างๆ ยังคงได้รับการตีพิมพ์ บรรเลง และบันทึกแผ่นเสียงทั่วโลก

ประวัติ Michelangelo




Michelangelo

               ไมเคิลแอนเจโลหรือมิเคลันเจโล บูโอนารอตติ (MICHELANGELO di Lodovico Buonarroti Simoni ) ศิลปินชาวฟลอเรนซ์เกิดเมื่อวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 1475 ที่หมู่บ้านคาเปรเซ (Caprese) ในคาเซนติโน (Casentino) ห่างจากนครฟลอเรนซ์ประมาณ 40 ไมล์ บิดาเป็นข้าราชการชื่อ Lodovico di Leo nardo Buonarrot มีชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1446-1531 มารดาชื่อ Francesa di Neri มีชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1455-1481 หลังจากเขาเกิดได้ 2-3 สัปดาห์ ครอบครัวก็อพยพเข้าไปอยู่ในนครฟลอเรนซ์ ในปี ค.ศ. 1488 มิเคลันเจโลก็ได้เข้าฝึกงานกับโดมิเนโก จิร์ลันไดโอ (Domemico Ghirlandaio) จิตรกรชาวฟลอเรนซ์ผู้เชี่ยวชาญในการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังแบบปูนเปียกหรือเฟรสโก ( Fresco ) ต่อมาเขาได้ใช้ความรู้นี้เมื่อเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วิหารซิสติน ( The Sistine Chapel ) ในวาติกันในอีก 20 ปีถัดมา ระหว่างสามปีที่ฝึกงานอยู่ที่มิเคลันเจโลได้ศึกษางานจิตรกรรมและวาดเส้นด้วยการลาออกงานจิตรกรรมของสิลปินรุ่นก่อน ๆ ได้แก่ คัดลอกผลงานจิตรกรรมของจอตโต ( Giotto di Bondone จิตรกรมชั้นครูชาวฟลอเรนซ์ยุคแรก ๆ มีชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1266-1337) และมาที่แวคซิดอ ( Tommaso di Ser Giovan ni di Mone เรียกกันโดยทั่วไปว่า Masaccio เป็นจิตรกรรมเรเนสซองค์ยุคแรก เกิดเมื่อค.ศ. 1401- ไม่ทราบปีที่ถึงแก่กรรม ) เป็นการฝึกฝนและการศึกษางานจิตรกรรมขั้นพื้นฐาน ต่อมาในปี ค.ศ. 1489 มิเคลันเจโลได้เข้าเรียนและฝึกงานในสายตระกูลเมตดิชิ ซึ่งมีลักษณะโรงเรียนคล้ายศิลปะ ต่อมาได้พัฒนามาเป็นสถาบันศิลปะหรือ อะคาเดมี ( Academy ) ภายใต้การอุปถัมภ์ของ ลอเรนโซ ( Lorenzo de Medici หรือ Lorenzo the Magnificent ) อันเป็นโอกาสสำคัญทำให้มริเคลันเจโลได้ศึกษางานประติมากรรมของกรีกและโรมันที่ตระกูลเมดิชิสะสมไว้นอกจากนี้เขายังได้สมาคมกับศิลปิน นักปรัชญาและกวีคนสำคัญ ๆ ในยุคนั้น การได้คบหาสมาคมกับบุคคลเหล่านั้นทำให้เขาได้รับอิทธิพลทางความคิดปรัชญามาผสมผสานกับแนวคิดในการสร้างสรรค์งานศิลปะของตน แทนที่ให้ความสำคัญกับทักษะฝีมือเท่านั้น 

หลังจากตระกูลเมดิชิหมดอำนาจลง ในปีค.ศ.1492มิเคลันเจโลได้เดินทางไปเมืองโบโลญา เพื่อรับจ้างทำงานประติมากรรมประดับสุสาน ต่อมาระหว่างปี ค.ศ. 1496-1501 เขาได้เดินทางไปพำนักอยุ่นกรุงโรม เพื่อรับจ้างเขียนรูปและรับงานประติมากรรมต่างๆ ในช่วงเวลานี้เองเขามีโอกาสสร้างผลงานสำคัญที่ทำให้ชื่อเสียงของเขาได้รับการกล่าวขวัญในฐานะประติมากรยิ่งใหญ่แห่งยุค คือ ประติมากรรมหินอ่อน “ ปิเอตา ” ( Pieta ) ซึ่งเป็นพระเยซูนอนอยุ่บนตักพระแม่มาเรียสลักหินอ่อนเนื้อขาวบริสุทธิ์สุง 5 ฟุต 9 นิ้ว แสดงให้เห็นความสามารถในการแกะสลักที่มีฝีมือสูงยิ่งและแฝงไว้ด้วยปรัชญาของคริสต์ศาสนางานประติมากรรมชิ้นนี้ปัจจุบันชิ้นอยู่ที่โบสถ์เวนตืปีเตอร์กรุงโรมเมื่อแกะสลักรูปปีเอตาเสร็จแล้วเขาได้เดินทางกลับฟลอเรนซ์ในปีค.ศ.1501เพื่อรับงานแกะสลักหินอ่อนที่สำคัญอีกชิ้นหนึ่งคือ ประติมากรรมหินอ่อนรูป “ เดวิด ” ( David ) ซึ่งแกะสลักจากแท่งหินอ่อนขนาดใหญ่ยาวประมาณ 18 ฟุต เป็นแท่งหินอ่อนเก่าแก่ที่วางทิ้งไว้โดยไม่มีประติมากรคนใดกล้าแกะสลัก มิเคลันเจโลใช้เวลาถึง 4 ปี เพื่อนฤมิตรแท่งหินอ่อนก้อนใหญ่นี้ให้เป็นชายหนุ่มรูปงามและเมื่อเขาแกะสลักรูปเดวิดเสร็จมิเคลันเจดลกลายเป็นวีรบุรุษของชาวฟลอเรนซ์มีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วอิตาลี(รูปเดวิดได้ทำจำลองขึ้นหลายรูปรูปต้นแบบปัจจุบันอยู่ที่ Gallerlia dellAcademiaนครฟลอเรนซ์เป็นศิลปกรรมเด่นที่ได้รับความสนใจมากที่สุดชิ้นหนึ่งของพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งนี้ 

มิเคลันเจโลหรือไมเคิลแอนเจโลเกิดมาเพื่อสร้างสรรค์ผลงานศิลปะอย่างแท้จริงเขาทำงานศิลปะอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตตั้งแต่เด็กจนถึงสองสามวันก่อนที่จะถึงแก่แรรมในวันที่18กุมภาพันธ์ ค.ศ.1564 เวลาประมาณ 16.30 น. ที่บ้านพักกรุงโรม อายุ 89 ปี ขณะที่แกะสลักงานประติมากรรมหินอ่อนชื่อ “ ปิเอตา รอนดานินี ” (Pieta Rondanini) ค้างอยู่ หลังจากถึงแก่กรรมแล้วศพถูกนำไปฝังไว้ที่โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ซึ่งเขาเป็นผู้ออกแบบแต่ไม่สามารถกระทำได้เพราะLeonardo Buonarroti หลานชายของเขาได้นำศพมิเคลันเจโล กลับไปฝังที่โบสถ์SantiApostoliในนครฟลอเรนซ์ถิ่นกำเนิดของเขาในวันที่ 10 มีนาคมปีเดียวกัน

สถาปัตยกรรมยุคคลาสสิก

                                             ยุคคลาสสิก

          แบ่งออกเป็น 2 ช่วงคือ

            1.สถาปัตยกรรมกรีกโบราณ

                 -  เป็นลักษณะสถาปัตยกรรมที่สูญหายไปจากกรีซมาตั้งแต่ปลายสมัยเฮลลาดิค (Helladic period) หรือสมัยไมซีเนียน (ราว 1200 ก่อนคริสต์ศักราช) มาจนกระทั่งราว 700 ก่อนคริสต์ศักราช เมื่อชาวโรมันมีความมั่งคั่งและฟื้นตัวขึ้นจนถึงจุดที่เริ่มมีการก่อสร้างสิ่งก่อสร้างสำหรับสาธารณชนขึ้นได้อีก แต่ในเมื่อสิ่งก่อสร้างของกรีกหลายแห่งในสมัยอาณานิคม (800-600 ก่อนคริสต์ศักราช) สร้างด้วยไม้หรือ อิฐดินเหนียว หรือ ดินเหนียว จึงทำให้ไม่มีที่ใดที่ยังเหลือหรอให้ได้เห็น นอกจากแผนผังบนพื้นอยู่สองสามแห่ง และไม่มีหลักฐานทางลายลักษณ์อักษรที่เกี่ยวกับสถาปัตยกรรมสมัยแรกหรือคำบรรยายเกี่ยวกับสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ที่ยังคงอยู่


                                               

                                                                      Stoa of Attalus

               2. สถาปัตยกรรมโรมัน


 เป็นลักษณะสถาปัตยกรรมของโรมันโบราณที่ประยุกต์มาจากสถาปัตยกรรมกรีกตั้งแต่ราวศตวรรษที่ 12 ก่อนคริสต์ศักราชมาเป็นลักษณะสถาปัตยกรรมของตนเอง ลักษณะสถาปัตยกรรมทั้งสองถือว่าเป็น “สถาปัตยกรรมคลาสสิก
นอกจากลักษณะสถาปัตยกรรมที่นำมาจากกรีกแล้วโรมันยังรับอิทธิพลเกี่ยวเนื่องเช่นการสร้าง “ห้องทริคลิเนียม” (Triclinium) ในคฤหาสน์โรมันเป็นห้องกินข้าวอย่างเป็นทางการ และจากผู้ที่มีอำนาจมาก่อนหน้านั้น--วัฒนธรรมอีทรัสคัน--โรมันก็นำความรู้ต่างทางสถาปัตยกรรมมาประยุกต์ใช้เช่นการใช้ระบบไฮดรอลิคและการก่อสร้างซุ้มโค้ง

                                        
                       
                                                          โคลอสเซียม

ดนตรียุคบาโรค



                                           ดนตรีบาโรก



ที่มาของคำ

           "บาโรก" มีความหมายแนวทางที่กว้างจากภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง โดยมากในยุโรป เป็นงานดนตรีที่ประพันธ์ในช่วง 160 ปีก่อน การใช้คำว่า "บาโรก" อย่างมีระบบทางด้านดนตรี เพิ่งมีการพัฒนาไม่นานนี้ เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1919 เมื่อเคิร์ต ซาชส์ พยายามที่จะประยุกต์ลักษณะ 5 ประการของทฤษฎีดนตรีที่มีระบบของ ไฮริช เวิฟฟริน  ในภาษาอังกฤษ คำนี้เกิดขึ้นในคริสต์ทศวรรษ 1940 ในงานเขียนของแลงและบูคอฟเซอร์ ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1960 ยังคงถือว่ายังมีการโต้เถียงกันในวงการศึกษาอยู่ โดยเฉพาะในฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักร ถึงแม้กระนั้นก็ได้รวมเพลงที่มีความหลากหลายในลักษณะดนตรีของจาโคโป เพรี, โดเมนิโก สการ์แลตตี และเจ.ซี. บาค รวม เข้าใช้เป็นคำเดียว คือ "ดนตรียุคบาโรก" (Baroque music) ขณะนี้คำนี้กลายเป็นคำที่ใช้แพร่หลายและยอมรับในแนวเพลงที่กว้างเช่นนี้และยังมีประโยชน์ในการจำแนกแนวเพลงก่อนหน้านี้ (เรอเนสซองส์) และหลังจากนี้ (คลาสสิก) ในช่วงเวลาประวัติศาสตร์ดนตรี

ลักษณะดนตรี

ในยุคบาโรก เริ่มมีการใช้เครื่องดนตรีหรือเสียงร้องเล่นประชันกัน เช่น เสียงร้องประชันกับเครื่องดนตรี หรือการเดี่ยวประชันเครื่องดนตรีบ้าง ซึ่งเรียกกันว่า Stile Concertante มีการใช้บาสโซคอนตินิวโอ (Basso Continuo) คือการที่เสียงเบส (เสียงต่ำ) เคลื่อนที่ตลอดเวลา โดยใช้สัญลักษณ์เป็นตัวเลขบอกถึงการเคลื่องที่ไปของเบส รวมถึงเสียงแนวอื่นๆ ด้วย ทำให้เกิดคอร์ดขึ้นมา เครื่องดนตรีที่ใช้เล่นบาสโซคอนตินิวโออาจเป็นคีย์บอร์ด เช่นออร์แกน ฮาร์ปซิคอร์ด หรือเป็นกลุ่มของเครื่องดนตรี เช่น วิโอล่า เชลโล่ และบาสซูน
มีการใช้บันไดเสียงเมเจอร์ และบันไดเสียงไมเนอร์แทนโหมด (Mode) รูปพรรณของเพลงเป็นแบบสอดประสานทำนอง ที่เรียกว่า Contrapuntal เริ่มมีการใช้การประสานสียงแบบโฮโมโฟนี (Homophony) คือ การเน้นความสำคัญของทำนองหลักโดยมีเสียงอื่นเล่นเสียงประสานคลอประกอบ มีการด้นสด (Improvisation) ของนักดนตรี โดยนักดนตรีจะแต่งเติมบทเพลง เริ่มมีการกำหนดความเร็วจังหวะของเพลง และความหนักเบาของเพลงลงในผลงานการประพันธ์ เช่น Adagio Andante และAllegro
รูปแบบของเพลงบางประเภทมีการพัฒนาจนมีแบบแผนแน่นอน ได้แก่ ฟิวก์ ลักษณะของเพลงร้องของดนตรียุคบาโรก ได้แก่ โอเปร่า คันตาตาและอราทอริโอ ส่วนลักษณะรูปแบบ (Form) ของเพลงบรรเลง ได้แก่ โซนาต้า คอแชร์โต และเพลงชุด (Suite) ซึ่งเพลงชุดเป็นการนำเพลงจังหวะเต้นรำที่มีหลายลักษณะมาบรรเลงต่อกันเป็นท่อนๆ เพลงจังหวะเต้นรำแบบต่างๆ ที่มีอยู่ในเพลงชุด ได้แก่ Allemande, Courante, Sarabande, Gavotte, Bourree, Minuet และGigue เป็นต้น

เทคนิคการระบายสีน้ำ

                                     เทคนิคเปียกบนเปียก


        


         การระบายสีแบบเปียกบนเปียก หมายถึง การระบายน้ำลงบนกระดาษก่อนแล้วจึงระบายสีตามที่ต้องการลงไป การระบายแบบเปียกบนเปียกนี้ จะช่วยให้ท่านระบายสีติดบนกระดาษทุกส่วน เพราะกระดาษบางชนิดระบายสีติดยาก เนื่องจากมีความมันหรือความหยาบขรุขระ
          
         การระบายแบบเปียกบนเปียก มีประโยชน์มากเมื่อจะระบายท้องฟ้า หรือผิววัตถุที่มีมัน เพราะจะให้ความรู้สึกกลมกลืนของสีเด่นชัด เทคนิคของการระบายแบบเปียกบนเปียกที่สำคัญมี  ประการ คือ

        1.การไหลซึม
      
         มีเทคนิคสำคัญดังนี้
    
           1. เตรียมกระดาษที่ขึงบนกระดานรองเขียน สี น้ำ พู่กัน และผ้าเช็ดไว้ให้พร้อม

             2. วางกระดานรองเขียนให้ทำมุมกับพื้น     15 องศา แล้วใช้พู่กันขนาดใหญ่ จุ่มน้ำระบายบนกระดาษ วาดเขียน จากนั้นจึงใช้พู่กันจุ่มสี แล้วระบายลงไป ขณะที่กระดาษยังเปียกน้ำอยู่ เมื่อระบายสีแรกจนพอใจแล้ว ล้างพู่กัน จุ่มสีอื่นระบายใกล้กับสีแรกเปลี่ยนสีอื่นและระบายอย่างเดียวกัน ประมาณ 4 – 5 สี 

             3. ขณะที่ระบายควรสังเกตดูการไหลซึมของสีที่ระบายนั้น จะพบว่าบางสีมีลักษณะรุกรานสีอื่น และบางสีก็ไม่รุกรานสีอื่น ควรจดจำสีที่รุกรานและไม่รุกรานไว้

            4. ลองระบายตามวิธีนี้อีก แต่คราวนี้กำหนดให้แน่ว่าจะใช้กลุ่มสีอุ่น หรือกลุ่มสีเย็น          (Cool or Warm Tone ) แล้วสังเกตความไหลซึมของสี

           
         2.การไหลย้อย

         มีเทคนิคสำคัญ ดังนี้

           1. เตรียมกระดาษที่ขึงบนกระดานรองเขียน สี น้ำ พู่กัน และผ้าเช็ดไว้ให้พร้อม

           2. วางกระดานรองเขียนให้ทำมุม 15 องศากับพื้น แล้วใช้พู่กันขนาดใหญ่ระบายน้ำบนกระดาษวาดเขียน ควรระบายให้ทั่วกระดาษ จากนั้นให้ใช้สีที่มีน้ำหนักแก่ระบายจากซ้ายไปขวาติ่ไปเรื่อยๆ จนเกือบทั่วแผ่นกระดาษ

           3. ปรับความเอียงของกระดานรองเขียนให้ทำมุมกับพื้น 85 องศา แล้วใช้พู่กันจุ่มสีอ่อนระบายบนสุดของกระดาษ พยายามให้พู่กันมีสีและน้ำมากๆ เมื่อระบายแล้ว สังเกตดูว่าสีไหลย้อยทันทีหรือไม่

           4. ถ้าสีอ่อนที่ระบายทับทีหลังไม่อ่อนเท่าที่ควร ก็ให้ระบายด้วยน้ำเปล่าแทน

           5. ลองระบายสลับกันโดยระบายสีอ่อนในชิ้นแรก เมื่อกระดานเอียง 15 องศา แล้วระบาย
สีแก่ เมื่อกระดานเอียง 85 องศากับพื้นสังเกตดูความแตกต่าง